
เครื่องช้า (Disk Usage 100%) แก้ไขอย่างไร
Table of Contents
ปัญหาเดิม ๆ สำหรับคนที่ใช้ Computer เจอกัน คือเครื่องช้า เปิดเครื่องครั้งหนึ่ง รอไม่ต่ำกว่า 10 นาที ส่วนใหญ่ก็เป็นปัญหาDisk Usage 100% ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในปัญหาสุดคลาสสิกที่ผู้ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 10 มีโอกาสพบเจอ ปัญหานี้ทำให้ไดร์ฟเก็บข้อมูลทำงานหนักผิดปกติ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของคอมพิวเตอร์ลดต่ำลง
โดย Disk Usage 100% คือ ฮาร์ดดิส มีการอ่านเขียนเต็มพิกัด ไม่เกี่ยวกับความจุ คือฮาร์ดดิสกำลังทำงานหนักมากนั่นเอง เมื่อฮาร์ดดิสทำงานหนัก มันจะดึงหน่วยความจำจากแรม ทำให้เครื่องอืด และเมื่อมันทำงานหนักเกินโดยไม่จำเป็น อายุการใช้งานย่อมต่ำลง แสดงว่าต้องมีโปรแกรมอะไร ที่มีการอ่านเขียนสูงๆ ทำงานอยู่แน่ๆ ถ้าไม่ใช่โปรแกรมที่เราติดตั้งเอง ก็ของวินโดว์ หรือไม่ก็ไวรัส
ปัญหา Disk 100% มีมาตั้งแต่ในอดีตยาวมาจนถึง Windows 10 ปัจจุบัน จึงมีการหาทางแก้ disk 100 กันหลายรูปแบบ เพื่อลดปัญหาที่มักเจอกันหนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะตัว Windows เมื่อยิ่งพัฒนาก็ยิ่งใช้ทรัพยากรมากขึ้น ดังนั้นถ้าเครื่องคนไหนที่ไม่ได้ใช้ SSD หรือ SSD m.2 มาแต่แรก ต้องเจอปัญหา Disk 100% อยู่ตลอด
ปัญหา Disk Usage 100% มีได้จากหลายสาเหตุ ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาจึงมีอยู่หลายวิธี เป็นการยากที่จะบอกได้ว่าควรใช้วิธีไหน
วิธีตรวจสอบสถานะ Disk Usage 100%
ก่อนจะไปถึงวิธีแก้ปัญหา เรามาอ่านวิธีตรวจสอบก่อนว่า คอมพิวเตอร์ที่คุณใช้งานอยู่ในสถานะ Disk Usage 100% หรือเปล่า ซึ่งตามปกติแล้ว เวลาที่เกิดอาการ Disk Usage 100% ผู้ใช้จะสามารถสังเกตได้จากการที่คอมพิวเตอร์ตอบสนองได้ช้าผิดปกติ เปิดโปรแกรม เปิดโฟลเดอร์อะไรก็ตาม มันจะหน่วงมากกว่าจะมีการตอบสนอง หรือตอนเปิดเครื่องต้องรอหลายนาที
เราสามารถตรวจสอบสถานะการทำงานของไดร์ฟในเครื่องของเราได้โดยการกด “ปุ่ม Ctrl+Shift+Esc” เพื่อเปิด “Task Manager” ตรวจสอบตรง “เมนู Disk” จะมีบอกเปอร์เซ็นที่ไดร์ฟกำลังทำงานอยู่ ถ้าขึ้น 100% ตลอดเวลาล่ะก็ แสดงว่าคอมพิวเตอร์กำลังมีปัญหาบางอย่างอยู่แน่ ๆ
วิธีแก้ Disk Usage 100% เครื่องอืด ช้า เบื้องต้น
1.ปิด Services ต่างๆ ที่ไม่จำเป็นทิ้งไป เพื่อแก้ disk Usage 100%
อธิบายก่อนว่า Services ต่างๆ พวกนี้ถ้าเราปิดไปแล้วจะมีฟังก์ชันบางอย่างที่ใช้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับการใช้งานทั่วไป จะมีขั้นตอนอย่างไรบ้างไปดูกันเลย
- กดปุ่ม Windows + R เพื่อเปิดโปรแกรม Run จากนั้นพิมพ์คำว่า services.msc แล้วกด OK
- ปิด Services ที่ไม่ต้องการตามนี้
- Background Intelligent Transfer Service
- Superfetch
- Windows Search
- Windows Update
วิธีการคือ คลิกขวาที่หัวข้อ > properties > กด Stop > ช่อง Startup Type เปลี่ยนเป็น Disabled > กด OK
**หากจะกลับมาอัปเดต Windows ใหม่อีกครั้ง ต้องกลับมาตั้งค่าใหม่ Windows Update เป็นค่าเดิม**
2.ลบสแกนไวรัสที่ไม่ใช่ของ Windows ทิ้ง
ทำไมต้องลบสแกนไวรัสออกด้วยล่ะ มีไว้ติดตัวเครื่องช่วยป้องกันไวรัส มัลแวร์ไม่ดีกว่าเหรอ ? หลายคนคงเชื่อกับความคิดแบบนี้มาตั้งไหนแต่ไร ซื้อคอมมาใหม่ๆ ต้องลงสแกนไวรัสเพิ่ม ขอบอกเลยว่าในปัจจุบันนี้สแกนไวรัสแทบไม่จำเป็นแล้ว ใช้สแกนไวรัสของตัวเครื่องอย่าง Windows Defender ก็พอ ซึ่งจะมีทุกเครื่องที่เป็น Windows ตั้งแต่ Windows 7, 8, 8.1 และ 10
วิธีลบสแกนไวรัสไปที่ Control Panel > Programs and Features > เลือกชื่อโปรแกรมสแกนไวรัส > คลิกขวา Uninstall แล้วรีสตาร์ทเครื่องหนึ่งครั้ง
3.ล้างไฟล์ขยะ Disk Cleanup เครื่องบ้าง
ตั้งแต่ซื้อคอมมาลองดูเครื่องตัวเองว่าเคย Disk Cleanup หรือลบแคลชไฟล์ขยะบ้างไหม ? ถ้าใครที่ไม่เคยทำเลยคงจะพบกับไฟล์ขยะอันมหาศาล ไหนจะแคลชไฟล์จากการเล่นเว็บ แคลชจากตัว Windows บอกเลยว่าไฟล์ขยะหลาย GB แน่นอน วิธีการลบไฟล์พวกนี้ก็ทำได้ไม่ยาก มีวิธีการดังนี้คือ
- คลิกขวาที่ไดร์ C > Disk Cleanup แล้วรอสักพักจนขึ้นหน้าใหม่
2.จากนั้นกด Clean up system files > กดติ๊กด้านหน้าชื่อทั้งหมด (จะเห็นได้ว่ามีขนาด 367 MB) > กด OK > Delete Files แล้วรอสักครู่ให้เครื่องจัดการ (อาจจะใช้เวลาค่อนข้างเยอะ ถ้ามันนานเกินไปก็กด Cancel แล้วมาทำใหม่ทีหลังก็ได้)
4.ปิด Defragment ของเครื่อง
- ไปที่ Drive C ของเราจากนั้น คลิกขวาเลือก Properties > เลือกแทป Tools > Optimize
2.ต่อมาเลือก Drive C > คลิก Change Settings > ติ๊กเครื่องหมายถูกออกจาก Run on a schedule > กด OK เป็นอันเสร็จ
วิธีการแก้ไขปัญหา Disk 100% ทั้งหมดที่กล่าวมาอาจจะเป็นการบรรเทาไม่ใช่การแก้ไขที่ต้นเหตุจริงๆ ดังนั้นหากคนไหนที่อยากจะแก้ไขให้หายเป็นปลิดทิ้งแนะนำว่าก็ต้องซื้อ SSD ที่เครื่องเรารองรับมาใช้ลง Windows และเพิ่ม Ram ให้มากกว่า 8GB กันนะครับ รวมทั้งตั้งค่าต่างๆตามที่แนะนำไวข้างต้นรับรองว่าชีวิตจะดีขึ้นเยอะแน่นอน
ที่มา https://tips.thaiware.com
https://notebookspec.com
สามารถติดตามเราได้ตาม Social Media ต่าง ๆ เพื่อรับข้อมูลข่าวสารและเทคนิคคอมพิวเตอร์ดี ๆ จาก KODEFIX ได้ที่
Facebook Page : KODEFIXThailand
Blockdit : www.blockdit.com/kodefix
Blogger : kodefix.blogspot.com
Website : kodefix.com